SMART (Specific Measurable Achievable Relevant Time-bound) สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำบัญชีได้ เพื่อให้การทำบัญมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมาย และตอบสนองความต้องการของธุรกิจ
วันนี้แอคไวส์เซอร์ จะพาคุณไปรู้จักตัวอย่างการนำ SMART มาใช้กับการทำบัญชี
Specific (เฉพาะเจาะจง)
แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า "อยากมีระบบบัญชีที่ดี" ให้ตั้งเป้าหมายว่า "อยากมีระบบบัญชีที่สามารถติดตามรายรับ-รายจ่าย สินค้าคงคลัง และลูกหนี้ได้อย่าง real-time"
แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า "อยากลดต้นทุน" ให้ตั้งเป้าหมายว่า "อยากลดต้นทุนการผลิตลง 10% ภายใน 6 เดือน"
Measurable (วัดผลได้)
กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น ยอดขาย กำไร ต้นทุน อัตรากำไรขั้นต้น อัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลัง ระยะเวลาการชำระหนี้
ติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นประจำ
Achievable (บรรลุผลได้)
ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่ achievable สอดคล้องกับศักยภาพของธุรกิจ ทรัพยากรที่มีอยู่ และสภาพตลาด
วางแผนกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย
Relevant (เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการ)
เป้าหมายทางบัญชีควรสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ กลยุทธ์ และแผนงาน
เลือกใช้ระบบบัญชีและเครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจ
Time-bound (อยู่ในกรอบเวลาที่เหมาะสม)
กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการบรรลุเป้าหมาย
แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย กำหนด Deadline แต่ละเป้าหมาย
ประโยชน์ของการนำ SMART มาใช้กับการทำบัญชี
ช่วยให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ บรรลุผลได้ และติดตามผลได้
ช่วยให้การทำบัญมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมาย และตอบสนองความต้องการของธุรกิจ
ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล แม่นยำ และรวดเร็ว
ช่วยให้บริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างเพิ่มเติม
ปิดบัญชีให้เสร็จภายใน 15 วันหลังสิ้นสุดรอบบัญชี
จัดทำงบประมาณรายปีและติดตามผลรายไตรมาส
ลดหนี้สินลง 20% ภายใน 1 ปี
เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 30% ภายใน 2 ปี
การนำ SMART มาใช้กับการทำบัญชี เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน และส่งเสริมความสำเร็จของธุรกิจ
Comments